อานิสงส์จากการแปลหนังสือ Mandela’s Way ทำให้เรามีโอกาสได้ไปศึกษาเรื่องราวของเนลสัน แมนเดลา รวมถึงสภาวะแวดล้อม เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทวีปแอฟริกาในยุคสมัยตั้งแต่แมนเดลายังไม่เกิด จนกระทั่งเกิดมา จนถึงช่วงการต่อสู้ของแมนเดลา และการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จากความประทับใจก็กลายเป็นความนิยมยกย่องและเคารพนับถือ ได้จัดการแปลและหาข้อมูลเพิ่มเติมในบทความ เนลสัน มันเดลา บนวิกิพีเดียภาษาไทย ได้เป็นบทความคัดสรรไปเรียบร้อย
เมื่อได้ยินข่าวเรื่องการสร้างภาพยนตร์ Invictus ก็ตื่นเต้นอยากดู แต่เหมือนว่าจะไม่ได้เข้าฉายในเมืองไทย หรือมิฉะนั้นก็จำกัดโรงมากและประชาสัมพันธ์น้อยมากจนเราไม่รู้เรื่องเลย จนไปหาโหลดมาดู แต่ก็ไม่มี sub thai อีก เราก็เลยจัดการแปลซับเองซะเลย แหะๆ
Invictus เป็นเรื่องราวตอนที่แมนเดลาได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้วค่ะ ยุคนั้นประเทศอื่นรอบๆ แอฟริกาใต้ได้รับเอกราชไปก่อนแอฟริกาใต้แล้ว และเกิดจลาจลกลียุค ฆาตกรรมหมู่อุตลุดกันไปหมด ผู้นำผิวดำหลายคนยึดอำนาจเป็นเผด็จการ โดนแย่งชิงอำนาจและถูกฆ่าตายในตำแหน่งก็มี ลองหา “สงครามผิว” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มาอ่านประกอบให้เห็นภาพในยุคนั้นมากยิ่งขึ้น
ต้องเล่าย้อนนิดนึงว่า ชนผิวขาวในแอฟริกาใต้นั้น แต่เดิมมาเป็นชาวยุโรปที่อพยพมาบุกเบิกอาณานิคมใหม่ ทั้งคนอังกฤษ ดัตช์ ฝรั่งเศส เยอรมัน ซึ่งเข้ามาตั้งอาณานิคมตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 (ปี 1800 กว่า) ชาวยุโรปที่มาตั้งรกรากในแอฟริกาใต้นี้เรียกตัวเองว่าพวกบัวร์ (Boer) ต่อมาภายหลังจึงเรียกตัวเองว่าชาวอัฟริคานส์ (Afrikaans) มีภาษาเป็นของตัวเองเรียกว่าภาษาอัฟริคานส์ ซึ่งกลายเป็นภาษาราชการของแอฟริกาใต้ (ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ)
ชนเหล่านี้อยู่แอฟริกาใต้นานหลายชั่วอายุคนจนไม่คิดว่าตัวเองเป็นชาวยุโรปอีกแล้ว แม้จะมีจำนวนไม่มาก เพียงประมาณไม่ถึง 10% ของประชากรทั้งหมด แต่ก็เป็นคนควบคุมและบริหารประเทศตั้งแต่ยุคอาณานิคม แม้เมื่อทางยุโรปปลดปล่อยให้เป็นเอกราชแล้ว ชนผิวขาวในแอฟริกาใต้ก็ยังครองอำนาจอย่างเหนียวแน่น และกดขี่เหยียดผิวชนพื้นเมืองอย่างรุนแรงกว่าที่อื่นๆ จนมีชื่อเรียกการเหยียดผิวในแอฟริกาใต้เป็นการเฉพาะว่า อาพาร์ไทด์ (Apartheid)
มีขบวนการต่อสู้เพื่อปลดแอกชนผิวดำเป็นขบวนการนานาชาติ ซึ่งแน่นอนก็มีการตอบโต้กวาดล้างจากฝ่ายรัฐบาลผิวขาวด้วย แม้ตัวแมนเดลาเองก็ถูกรัฐบาลผิวขาวจับตัวขังคุกชนิดว่าขังลืมตลอดชีวิต ครอบครัวบ้านแตกสาแหรกขาด ชีวิตครอบครัวของแมนเดลาต้องเรียกว่าย่อยยับ ทั้งภรรยาและลูกสาวก็ถูกคุกคามข่มขู่ เขาถูกขังอยู่เป็นเวลาถึง 27 ปีเต็มกว่าที่รัฐบาลผิวขาวจะเปลี่ยนนโยบายเป็นการประนีประนอม ทั้งจากการกดดันของนานาชาติ และการต่อสู้อย่างรุนแรงภายในประเทศ
ดังนั้น หลังจากการเหยียดผิวในทวีปแอฟริกายุติลง (และเกิดจลาจลฆ่าล้างแค้นกันมั่วไปหมด) แมนเดลาไม่ต้องการให้แอฟริกาใต้ตกไปสู่สงครามกลางเมืองเหมือนอย่างประเทศอื่นๆ ขั้วการเมืองอื่นนอกเหนือจากแมนเดลาเช่นในพรรคเอเอ็นซีเอง (ปีกที่สนับสนุนคริส ฮานี) หรือพรรคซูลู ล้วนแต่เป็นพวกหัวรุนแรง ต้องการแก้แค้นคนผิวขาวที่กดขี่ข่มเหงชนผิวดำมานาน มีการจลาจลตะลุมบอนกันซึ่งในภาพยนตร์ตอนต้นเรื่องได้แสดงให้เห็นภาพบ้างนิดหน่อย
ภายใต้ความกดดันเคียดแค้นถึงขนาดนี้ แต่ผู้ชายคนนี้กลับพยายามเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนหันมาจับมือกัน ปรองดองกัน ต้องพยายามต่อสู้ทั้งแนวคิดทางการเมืองภายในพรรค และถูกครอบครัวเคียดแค้นเสียเองฐานไปเข้าข้างคนผิวขาว
แมนเดลาพยายามเข้าอกเข้าใจทุกๆ ฝ่าย ท่านอธิบายกับฝ่ายหัวรุนแรงที่ต้องการไล่ชนผิวขาวออกไปให้พ้น โดยกล่าวว่า “พวกเขาไม่มีแผ่นดินบ้านเกิดอื่นใดอีกนอกจากที่นี่” ท่านบอกว่า พวกเขาเป็นพลเมืองของแผ่นดินนี้ และเราต้องอยู่ร่วมกันให้ได้
ตอนที่อ่านหนังสือมาถึงประโยคนี้ ในหัวนึกแว้บไปถึงพวกที่ทะเลาะกันเรื่องปัญหาบ้านเมือง แล้วชอบไล่ฝ่ายตรงข้ามว่า “ย้ายไปประเทศอื่นไป๊”
ค่ะ ทางโน้นเขาคนละเชื้อชาติกันเลยนะคะ เขายังพยายามอยู่ร่วมกัน แต่ของเราเนี่ย เชื้อชาติเดียวกันญาติกันแท้ๆ…
เอ้ากลับมาเข้าเรื่องค่ะ … เนื้อหาหลักในภาพยนตร์คือความพยายามของแมนเดลาในการสร้างความปรองดองและสันติภาพขึ้นระหว่างคนดำกับคนขาวในประเทศ โดยเขาเลือกเอากีฬารักบี้ ซึ่งแต่เดิมเป็นกีฬาของคนขาว มาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสามัคคีของคนในชาติ
มีแง่มุมที่น่าสนใจ ที่สะกิดใจตัวเราเองจากการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ คือเรื่องของการผสานชนชาติ
ในภาพยนตร์มีบางฉากที่แสดงถึงความแตกต่างทางเชื้อชาติโดยผ่านทางภาษา เช่นเวลาที่แมนเดลาพูดกับบอดี้การ์ดคนดำ หรือคนดำคุยกันบางฉาก จะพูดภาษาท้องถิ่นของแอฟริกาใต้ (คอห์ซา) ส่วนเวลาที่คนขาวคุยกัน เช่นตอนที่กัปตันพีนาร์คุยกับแม่บ้านผิวขาวของท่านประธานาธิบดี เขาจะคุยกันด้วยภาษาอัฟริคานส์ ส่วนเวลาคุยระหว่างกันให้รู้เรื่อง จะใช้ภาษาอังกฤษ
แต่ถึงแม้จะมีความแตกต่างทางเชื้อชาติและภาษาอย่างไร ทั้งชาวอัฟริคานส์และแอฟริกันก็ยังหาทางอยู่ร่วมกัน ผสานวัฒนธรรมเข้าด้วยกันได้ มีฉากการผสานวัฒนธรรมที่น่าสนใจอีกฉากหนึ่ง ในตอนแข่งรักบี้กับทีมออลแบล็กผู้โด่งดังแห่งนิวซีแลนด์ จะมีการเต้นรำพื้นเมือง ซึ่งเป็นประเพณีการเต้นรำปลุกใจก่อนออกศึกของชนเผ่าเมารี อันเป็นชนพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ จะเห็นว่า ชนผิวขาวที่อพยพไปตั้งอาณานิคมในนิวซีแลนด์ ก็ผสานตัวเองกลมกลืนไปกับวัฒนธรรมพื้นเมืองของดินแดนนั้น อาจสังเกตได้ว่าวัฒนธรรมนิวซีแลนด์จะมีวัฒนธรรมเมารีเป็นพื้นฐาน ถ้าเคยไปนิวซีแลนด์ก็จะเห็นป้ายทั้งภาษาอังกฤษและเมารี การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมก็เน้นที่ชนเผ่าเมารีเป็นหลัก
ภาพทีมสปริงบอกส์ของแอฟริกาใต้ ยืนประจันหน้ากับทีมออลแบล็กของนิวซีแลนด์ เป็นภาพที่ประทับใจเรามากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะนักกีฬาในทีมเกือบทั้งหมดเป็นชนผิวขาว แต่พวกเขากำลังต่อสู้ให้กับประเทศบ้านเกิด โดยมีชาวคอห์ซา/ซูลู และชาวเมารีเป็นทั้งแบ็กกราวน์และแบ็กอัพอยู่ข้างหลังของแต่ละทีม
น่าคิดไหมคะว่า แล้วเมืองไทยเราที่มีหลากหลายชนชาติ (ที่ยังไม่ต่างกันสุดขั้วแบบเขาสักกะหน่อย) อยู่ร่วมกันบนแหลมทองนี้มานานนับหลายร้อยปีแล้วเนี่ย เราจะผสานเข้าด้วยกัน และสามัคคีปรองดอง ตั้งใจสร้างประเทศร่วมกันได้หรือไม่
ก่อนจบขอย้อนไปที่ชื่อภาพยนตร์ Invictus เป็นชื่อบทกวีของ William Ernest Henley มีความหมายว่า “unconquered” ในเรื่องแมนเดลามอบบทกวีนี้ให้แก่กัปตันพีนาร์ให้เป็นแรงบันดาลใจในการเอาชนะโชคชะตา และสร้างเส้นทางชะตาชีวิตของตัวเองขึ้นมาเอง มิให้หวาดกลัวกับความพ่ายแพ้ (เพราะออลแบล็กเป็นทีมรักบี้แชมป์โลกหลายสมัย ขณะที่สปริงบอกส์ของแอฟริกาใต้นั้นไม่อยู่ในสายตานักวิจารณ์เลยด้วยซ้ำ)
บทกวีเต็มๆ อ่านได้ตามลิงก์นี้นะคะ ส่วนบทความนี้ขอปิดด้วยบทกวี 4 บรรทัดที่เป็นบทปิดเรื่องของภาพยนตร์เช่นกัน ดังนี้
I thank whatever gods may be
For my unconquerable soul.
I am the master of my fate:
I am the captain of my soul.
[…] Invictus – จิตวิญญาณผู้ไม่แพ้ โดยคุณ Tinuviel […]
[…] Invictus – จิตวิญญาณผู้ไม่แพ้ โดยคุณ Tinuviel […]
รีวิวภาพยนตร์เรื่องนี้ในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่น่าสนใจค่ะ
http://www.isriya.com/node/3142/invictus
Just want to say what a great blog you got here!
I’ve been around for quite a lot of time, but finally decided to show my appreciation of your work!
Thumbs up, and keep it going!
Cheers
Christian, iwspo.net
[…] I thank whatever gods may be For my unconquerable soul. I am the master of my fate: I am the captain of my soul. ที่มาของบทความข้างบนผมนำมาจากที่นี่ครับ https://ithil.wordpress.com/2010/05/10/invictus/ […]
ขอบคุณสำหรับสาระดีดี ผมประทับใจภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ
มาเสิร์ชดูพบบทความของคุณ ขออณุญาตนำไปเผยแพร่เป็น วิทยาทานต่อไป
ขอบคุณครับ เพราะทุกอย่างต้องการแรงบันดาลใจทั้งสิ้น
เพิ่งดูเรื่องนี้จบค่ะ ประทับใจเช่นเดียวกัน เลยเอาไปแนะนำใน FB ขอนำ link ของคุณไปแนะนำด้วยนะคะ ^^
ไม่รู้จะเขียนตรงไหนหงะ อยากบอกว่า ชอบ โซรอส เลกเช้อ แปลอ่านง่ายดีครับ ขอให้งานแปลขายดีๆนะครับ 😀
ชอบมากๆ…ขออนุญาต share นะคะ
ขอบคุณค่ะ ยินดีค่ะ ^^
เพิ่งได้้ดูเรื่อง invictus ค่ะ ประทับใจมาก ส่วนหนังสือวิถึแมนเดลานั้นอ่านจบไปนานแล้ว (และชอบมากเหมือนกัน)ขอบคุณสำหรับหนังสือแปลดีๆ และบทความดีๆ ที่แบ่งปันให้อ่านกันนะคะ
Invictus – จิตวิญญานผู้ไม่แพ้
แม้มืดมิด จิตตก หมกมุ่นหนัก
ใจไม่พัก ข่มหลับ กลับตื่นตก
ถูกกดขี่ ย่ำยี จนช้ำชก
กลับไม่ตก ก้มหัว กลัวให้ใคร
วิญญานที่ แข็งเข้ม เต็มเปี่ยมล้น
สู้ไม่บ่น ไม่ร่นถอย คอยขัดขวาง
ต่อให้ผลาญ ดวงจิต ให้แหลกราญ
ก็จะต้าน ผู้ข่มเหง นักเลงเลว
ให้สิ้นฟ้า สิ้นดิน สิ้นแสงดาว
ให้สิ้นเท้า สิ้นมือ สิ้นทุกสิ่ง
แต่จำไว้ หัวใจ ยังไม่สิ้น
เจ้าชิวิน เจ้าวิญญู คือตูเอง
AEY – 8.11.11 – Bussadee S.
เอาของดีมาฝาก ส่วนตัวว่าหนังเรื่องนี้คนไทยทุกคนน่าจะได้ดู
หนังดีมากๆ เลยครับ
เพิ่งดูหนังเรื่องนี้ จบ หนังดีมากๆ …ได้อ่าน Blog นี้ ด้วย ยิ่งดีเข้าไปใหญ่